อย่าฝากชีวิตไว้ที่ใคร แม้จะรักกันมากแค่ไหนก็ตาม

จากเหตุการณ์ที่มีการประกาศให้มีมาตรการต่างที่ป้องกันการแพร่ระบาดของไข้ไวรัสนั้น ด้วยการที่ให้ประชาชนอยู่กับบ้านกันมากขึ้นเพื่อลดการสัญจรไปมาก จนล่าสุดที่ประเทศจีนกลายเป็นข่าวใหญ่โตว่า หลังจากมาตรการที่ต้องการให้คนอยู่กันที่บ้านมากกขึ้น

กับมีอัตราการหย่าร้างของคู่สามีภรรยากันมากขึ้นกว่าปรกติ และสาเหตุส่วนใหญ่ที่มีการสอบถามกันนั้น ปรากฎว่าเพราะเค้าและเธอเจอหน้ากันบ่อยจนทำให้เกิดความไม่ลงตัวกัน ซึ่งแต่เดิมนั้นธรรมชาติชาวจีน คู่สามีภรรยาเองนั้นต่างพบเจอกันเพียงแค่ช่วงเช้าและเย็น ก่อนและหลังการทำงานเท่านั้น

แต่พอได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน จึงเกิดความไม่เข้าใจและเห็นธาตุแท้นิสัยกันมากขึ้น จึงทำให้ทั้งคู่ไปกันต่อในฐานะชีวิตคู่ไม่ได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ  จริงอยู่ที่ความรักทำให้คนสอนคนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน แต่ความรักไม่ใช่การเอาชีวิตฝากไว้ที่อีกคน และไม่ใช่การโยนทุกสิ่งทุกอย่างให้อีกคนต้องรับผิดชอบทั้งหมด

โดยที่ไม่เคยคิดที่จะถามว่าเค้าโอเคหรือไม่กับความสมัครใจในครั้งนี้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น มันไม่ความรัก แต่มันเป็นเพียงแค่หาใครสักคนมารับผิดชอบกันมากกว่า และการที่เราไม่ได้ฝากชีวิตไว้ที่ใคร ก็ไม่ได้หมายความว่าพอมีปัญหา หรือมีเรื่องไม่สบายใจ เดือดร้อน เราจะต้องจัดการด้วยตัวคนเดียวหรือต้องพึ่งพาตัวเองเสมอไป

เพราะข้อดีของความรักเองนั้น มันอยู่ตรงนี้ เวลาใดก็ตามที่เราเจอปัญหา เรายังมีคนอีกคนคอยอยู่เคียงข้างให้กำลังใจ และช่วยเหลือให้คำปรึกษากับเราตลอดเวลา แล้วคอยช่วยกันเพื่อให้ผ่านความยากลำบากนั้นไปด้วยกัน

ดังนั้นการมีความรักก็ไม่จำเป็นต้องฝากชีวิตไว้ที่ใคร เพียงแต่รู้จักเรียนรู้กับความรัก และไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน และไม่โยนความรับผิดชอบหรือทุกสิ่งอย่างให้กับอีกฝ่าย โดยที่ตัวเองไม่เคยคิดที่จะทำอะไรเพื่อตัวเอง หรือซ้ำร้ายที่สุดไม่เคยคิดที่จะทำอะไรให้คนรักเลย เพราะการกระทำเช่นนี้ คือไม่ใช่ความรัก แต่เค้าเรียกว่าความเห็นการตัว

ที่มีอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ เราอาจจะเห็นหลายๆคู่ที่เค้าไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ และก็เห็นอีกหลายคู่ที่รักกันจนแก่เฒ่า เพราะนั่นคือการใช้ชีวิตแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ปรับเปลี่ยนความรักให้เป็นกำลังใจและการพึ่งพากันและกัน ไม่ใช่ใช้ความรักเพื่อที่ตัวเองจะไม่ต้องทำอะไรหรือยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง เพราะนั่นคุณจะไม่มีความรักที่แท้จริงเลย